ที่เป็นอารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ พระอรหันต์เห็นจักษุ ฯลฯ กายะ
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ ล ฯ เห็นรูป ฯลฯ
โผฏฐัพพะ หทยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯ ล ฯ เห็นรูปด้วยทิพยจักษุ
ฯลฯ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ ฯลฯ.
ที่เป็น วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็น
เนววิปากนวิปากธัมมธรรม ด้วยอำนาจของปุเรชาตปัจจัย.
๒. เนววัปากนวิปากธัมมธรรม เป็นปัจจัยแก่วิปาก
ธรรม ด้วยอำนาจของปุเรชาตปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ ที่เป็น อารัมมณปุเรชาตะ และ วัตถุปุเรชาตะ.
ที่เป็นอารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ พระเสกขะ หรือปุถุชน พิจารณา
เห็นจักษุโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อม
เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักษุนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เมื่อ
กุศลและอกุศลดับแล้ว ตทารัมมณจิตอันเป็นวิบาก ย่อมเกิดขึ้น. พิจารณา
เห็นโสตะ ฯ ล ฯ หทยวัตถุโดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ตทารัมมณจิต
อันเป็นวิบากย่อมเกิดขึ้น.
รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ด้วยอำนาจของปุเรชาตปัจจัย
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ด้วยอำนาจของปุเรชาตปัจจัย.
ที่เป็นวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ
ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ, หทยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิบาก-
ขันธ์ ด้วยอำนาจของปุเรชาตปัจจัย.
๓. เนววิปากนวิปากธัมมธรรม เป็นปัจจัยแก่วิปาก-
ธัมมธรรม ด้วยอำนาจของปุเรชาตปัจจัย